Posted on


วิตามินเอ เป็นหนึ่งในวิตามินที่ละลายในไขมัน พบได้ในอาหารหลายชนิด วิตามินเอมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและการทำงานของส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมทั้งดวงตา ผิวหนัง และระบบภูมิคุ้มกัน

วิตามินเอมีสองรูปแบบหลักๆ คือ

  • เรตินอล เป็นรูปแบบที่ใช้งานทางชีวภาพมากที่สุดของวิตามินเอ พบได้ในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ และไข่แดง
  • แคโรทีนอยด์ เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ พบได้ในอาหารจำพวกผักและผลไม้ที่มีสีเหลือง สีส้ม และสีแดง เช่น แครอท ฟักทอง มะเขือเทศ ผักโขม และบร็อคโคลี

ประโยชน์ของวิตามินเอ ได้แก่

  • ช่วยในการมองเห็น เรตินอลจำเป็นต่อการผลิตโรดอปซิน ซึ่งเป็นสารสีที่ช่วยให้มองเห็นในที่มืด การขาดวิตามินเออาจนำไปสู่โรคตาบอดกลางคืน
  • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน วิตามินเอช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งช่วยป้องกันการติดเชื้อ
  • ส่งเสริมสุขภาพผิว วิตามินเอช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหาย และช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่น
  • ช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการ วิตามินเอมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกและเด็ก

ความต้องการวิตามินเอในแต่ละวันแตกต่างกันไปตามอายุและเพศ ปริมาณวิตามินเอที่แนะนำต่อวันสำหรับผู้ใหญ่อายุ 19 ปีขึ้นไป คือ 900 ไมโครกรัมสำหรับผู้ชาย และ 700 ไมโครกรัมสำหรับผู้หญิง

การขาดวิตามินเออาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น โรคตาบอดกลางคืน การติดเชื้อทางเดินหายใจ และความผิดปกติของผิวหนัง การได้รับวิตามินเอมากเกินไปอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และปวดกระดูก

วิธีที่ดีที่สุดในการได้รับวิตามินเอคือจากอาหาร อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่

  • เนื้อสัตว์ เช่น ตับ หัวใจ ไต ไข่แดง
  • ผัก เช่น แครอท ฟักทอง มะเขือเทศ ผักโขม บร็อคโคลี
  • ผลไม้ เช่น แครอท มะละกอ สับปะรด

นอกจากนี้ ยังสามารถได้รับวิตามินเอจากอาหารเสริมได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานอาหารเสริมวิตามินเอ

แต่เดี๋ยวก่อนนน ถ้าหากรับประทานมากเกินไปจากประโยชน์ก็ก่อโรคได้นะ

การกินวิตามินเอมากเกินไปอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงได้ เนื่องจากวิตามินเอเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ร่างกายจึงเก็บสะสมปริมาณส่วนเกินไว้ที่ตับ ทำให้สะสมในร่างกายได้

อาการที่อาจเกิดขึ้นจากการกินวิตามินเอมากเกินไป ได้แก่

  • ปวดศีรษะ
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ท้องผูก
  • ง่วงนอน
  • หงุดหงิด
  • ซึมเศร้า
  • ผิวแห้ง
  • คัน
  • ผมร่วง
  • กระดูกอ่อนแอ
  • กระดูกพรุน
  • ตับอักเสบ
  • ไตวาย

ในหญิงมีครรภ์ การกินวิตามินเอมากเกินไปอาจส่งผลต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ เช่น ภาวะหัวเล็ก หัวใจพิการ และภาวะปัญญาอ่อน

ปริมาณวิตามินเอที่แนะนำต่อวันสำหรับผู้ใหญ่อายุ 19 ปีขึ้นไป คือ 900 ไมโครกรัมสำหรับผู้ชาย และ 700 ไมโครกรัมสำหรับผู้หญิง

หากรับประทานวิตามินเอเสริม ควรรับประทานในปริมาณที่แนะนำเท่านั้น และควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานวิตามินเอเสริม โดยเฉพาะหากมีโรคประจำตัว เช่น โรคตับ โรคไต หรือโรคหัวใจ

วิธีป้องกันไม่ให้กินวิตามินเอมากเกินไป ได้แก่

  • รับประทานอาหารที่มีวิตามินเอในปริมาณที่พอเหมาะ
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเสริมวิตามินเอโดยไม่ปรึกษาแพทย์
  • ตรวจสอบปริมาณวิตามินเอในอาหารเสริมก่อนรับประทาน

หากมีอาการที่อาจเกิดจากการกินวิตามินเอมากเกินไป ควรปรึกษาแพทย์ทันที

กินแล้วดีเล่นแล้วรวย PAKYOK88